วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2562

สุภาษิตสอนหญิง

สุภาษิตสอนหญิง
เรื่องย่อ
       สุภาษิตสอนหญิงเป็นการแต่งไปเรื่อยและเท่าที่ใจกวีอยากจะแต่ง ไม่ได้วางโครงเรื่องไว้ก่อนแต่ง แต่ก็คงใจความสำคัญ นั่นคือทุกบทกลอนจะกล่าวสอนสตรีเพศ ตักเตือนอีกทั้งยกตัวอย่างให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม ในตอนต้นเป็นบทประณามพจน์ หรือเรียกง่าย ๆ คือ บทไหว้ครู

ที่มา
       สุภาษิตสอนหญิงนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงพระยาดำรงราชานุภาพทรงให้ความเห็นไว้ว่า “สุนทรภู่เห็นจะแต่งเมื่อราว พ.ศ.2380 จน พ.ศ. 2383 ในเวลาเมื่อสึกกลับออกมาเป็นคฤหัสถ์แล้วต้องตกยากจนถึงลงลอยเรืออยู่   พิเคราะห์ตามสำนวนดูเหมือนวรรณคดีเรื่องนี้สุนทรภู่จะแต่งขาย  กล่าวความเป็นสุภาษิตสำหรับสตรีสามัญทั่วไป  ความไม่บ่งว่าแต่งให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ ต้นฉบับเดิมที่หอพระสมุดฯได้มา เรียกว่าสุภาษิตไทย เป็นคำสมมติของผู้อื่น ดูเหมือนผู้สมมติจะไม่รู้ว่าเป็นกลอนของสุนทรภู่ด้วยซ้ำไป ถ้อยคำในต้นฉบับก็วิปลาสคลาดเคลื่อนต้องซ่อมแซมในหอพระสมุดฯหลายแห่งแต่แต่งดีน่าอ่านเหมือนกัน

คุณค่า
       โดยวรรณคดีเรื่องสุภาษิตสอนหญิงนั้น สามารถสรุปคำสั่งสอนที่สำคัญได้ดังนี้
       1.การรักนวลสงวนตัว
       -ไม่ชิงสุกก่อนห่าม
       2.การแต่งกาย
        -ไม่แต่งตัวเยอะจนเกินงาม
       3.การนอน
        -ไม่นอนตื่นสาย
        -ไม่นอนดิ้น
       4.การเดิน
        -ไม่เสยผมขณะเดิน ไม่เดินแกว่งแขนมากเกินไป
       5.การฟัง
        -ฟังหูไว้หู ไม่เชื่อคำพูดของใครง่าย ๆ
       6.การพูด
            -คิดก่อนพูด
            -ไม่พูดตะคอก
            -ไม่พูดคำหยาบ
       7.การเลือกคู่ครอง
       8.การเลือกคบเพื่อน
       9.การประหยัด
        -หมั่นออมเงินและไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือย
       10.  กตัญญูต่อบิดามารดา
       11. การมีสติอยู่เสมอ
       12. การรักเดียวใจเดียว
       13. การอ่อนน้อมถ่อมตน
          -ไม่อวดร่ำอวดรวย
          -ไม่โอ้อวดยศถาบรรดาศักดิ์เกินจริง
       14. หน้าที่ของภรรยา
          -ซื่อสัตย์ต่อสามี
          -เคารพ นอบน้อมสามี
          -ตื่นนอนก่อนสามี เตรียมอาหารให้พร้อม
          -สามีทานอาหารเสร็จจึงค่อยทาน
          -ปรนนิบัติสามี
          -ไม่ก้าวร้าวหรือเถียงสามี
          -ไม่นินทาหรือด่าว่าสามี
         โดยกวีนั้นได้บรรยายลักษณะนิสัยของผู้หญิงและผู้ชายที่ไม่ดีเอาไว้ด้วย เพื่อให้หลบหลีก อย่าคบหาคนพวกนี้ เช่น
              -ผู้หญิงที่ชอบแอบอ้างว่าตนเองนั้นเป็นผู้ดี เป็นลูกหลานคนมีชื่อเสียง
              -ผู้หญิงใจง่าย รักสนุก
              -ผู้ชายที่กินเหล้า เมายา คบด้วยก็มีแต่จะนำความจนมาสู่ครอบครัว
              -ผู้ชายที่เกียจคร้านการงาน ขี้ขโมย
              -ผู้ชายที่ชอบเล่นการพนัน

ด้านวรรณศิลป์
-   อุปมา  เช่น
“ เป็นสาวแซ่แร่รวยสวยสะอาด                       ก็หมายมาดเหมือนมณีอันมีค่า
แม้นแตกร้าวรานร่อยถอยราคา                         จะพลอยพาหอมหายจากกายนาง ”
“ ใครเห็นน้องต้องนิยมชมไม่ขาด                  ว่าฉลาดแต่งร่างเหมือนอย่างหงส์
ถึงรูปงามทรามสงวนนวลอนงค์                      ไม่รู้จักแต่งทรงก็เสียงาม ”
“ ทางไกลตาอุปมาเหมือนเสียเนตร                สุดสังเกตเท็จจริงทุกสิ่งสรรพ์
 เขาจะนำไปให้ตายก็ตายพลัน                       คนทุกวันเชื่อมันยากปากมันโกง ”
“ อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้ศักดิ์                            เขาจะมักเหม็นปากเหมือนซากผี
เปรียบเหมือนเกลือเจือปนกับชลธี                  มันก็มีแต่จะจืดไม่ยืดยาว ”
-  อุปลักษณ์ เช่น
“ อันแม่สื่อคือปีศาจที่อาจหาญ         ใครบนบานเข้าสักหน่อยก็พลอยโผง           
อย่าเชื่อนักมักตับจะคับโครง            มันชักโยงอยากกินแต่สินบน ”
“ แม้นรู้จักรักร่างเป็นอย่างยิ่ง           จะเพริศพริ้งสมสวาทเป็นราชหงส์
  จงกำหนดอุตส่าห์รักษาทรง              อย่าลุ่มหลงด้วยอุบายของชายพาล ”
-  อติพจน์ (กล่าวเกินจริง) เช่น
“ ถ้าเราดีมีจิตคิดอุปถัมภ์                    กุศลล้ำเลิศเท่าภูเขาหลวง
จะปรากฏยศยิ่งสิ่งทั้งปวง                  กว่าจะล่วงลุถึงซึ่งนิพพาน ”
“ ทรมานภัสดาน่าสังเวช                   ดูเหมือนเปรตเวทนาน่าบัดสี
 ยังมิหนำซ้ำป่าวเหล่านารี                  ที่ไม่มีภัสดาให้มาดู ”
-  สัญลักษณ์ เช่น
“ นี่เกิดมาเป็นนารีไม่มีค่า                                 จะเกิดมาทำไมให้หมองหมาง
เหมือนกรวดทรายปรายเล่นไม่เว้นว่าง           จะเอาอย่างนางโมราฤๅว่าไร ”
-  สัมผัสอักษร เช่น
“ ประการหนึ่งซึ่งจะเดินดำเนินนาด              ค่อยเยื้องยาตรยกย่างไปกลางสนาม
 อย่าไกวแขนสุดแขนเขาห้ามปราม                  เสงี่ยมงามสงวนไว้แต่ในที ”
-  สัมผัสอักขระ เช่น
“ อย่าเหินกรายย้ายอกยกผ้าห่ม                        อย่าเสยผมกลางทางหว่างวิถี
อย่าพูดเพ้อเจ้อไปไม่สู้ดี                                     เหย้าเรือนมีกลับมาจึงหารือ ”
 -  คำพ้องเสียง เช่น
“ ฉันชื่อภู่ผู้ประดิษฐ์คิดสนอง                          ขอประคองคุณใส่ไว้เหนือผม
ให้ประเสริฐเลิศล้ำด้วยคำคม                            โดยอารมณ์ดำริรักชักภิปราย ”

ด้านอารมณ์
                คุณค่าทางอารมณ์ที่ได้รับจากการอ่านวรรณคดีนั้น สามารถแบ่งได้ตามรสวรรณคดีสันสกฤต ซึ่งมีปรากฏในตำรานาฏยศาสตร์ (นาฏยเวท) ของพระภรตมุนี กล่าวถึงคุณสมบัติของตัวละครสันสกฤตที่ดีว่า ต้องประกอบด้วยรส 9  รส คือ ศฤงคารรส หาสยรส กรุณารส รุทรรส วีรรส ภยานกรส พีภัตสรส อัพภูตรสและศานติรส เนื่องจากสุภาษิตสอนหญิงนั้นเป็นวรรณคดีคำสอน จึงไม่ค่อยมีรสวรรณคดีที่แพรวพราวมากนัก โดยมีรสวรรณคดีดังนี้
                 1) ศฤงคารรส (รสแห่งความรัก) เป็นการพรรณนาความมรักระหว่างหนุ่มสาว ระหว่างสามีภรรยา ระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย บิดามารดากับบุตร ญาติกับญาติ ฯลฯ สามารถทำให้ผู้อ่าน พอใจรัก เห็นคุณค่าของความรัก นึกอยากรักกับเขาบ้างเช่น รักฉันชู้สาว รักหมู่คณะ รักประเทศชาติ เป็นต้น (บาลี เรียกรสนี้ว่า รติรส)
       ตัวอย่างจาก สุภาษิตสอนหญิง
“ อันตัวนางเปรียบอย่างปทุเมศ        พึ่งประเวศผุดพ้นชลสาย
               หอมผกาเกสรขจรจาย        มิได้วายภุมรินถวิลปอง
  ครั้นได้ชมสมจิตพิศวาส                    ก็นิราศแรมจรัลผันผยอง
ไม่อยู่เฝ้าเคล้ารสเที่ยวจดลอง            ดูทำนองใจชายก็คล้ายกัน ”
                2) กรุณารส (รสแห่งความเมตตากรุณาที่เกิดภายหลังความเศร้าโศก) เป็นบทพรรณนาที่ทำให้ผู้อ่านหดหู่เหี่ยวแห้ง เกิดความเห็นใจถึงกับ น้ำตาไหล พลอยเป็นทุกข์ เอาใจช่วยตัวละคร (บาลีเรียกรสนี้ว่า โสกะรส)
                ตัวอย่างจาก สุภาษิตสอนหญิง
“ ทรมานภัสดาน่าสังเวช                   ดูเหมือนเปรตเวทนาน่าบัดสี
 ยังมิหนำซ้ำป่าวเหล่านารี                  ที่ไม่มีภัสดาให้มาดู ”
                3) รุทรรส/เราทรรส (รสแห่งความโกรธเคือง) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทำให้ผู้ดูผู้อ่านขัดใจฉุนเฉียว ขัดเคืองบุคคลบางคนในเรื่อง บางทีถึงกับขว้างหนังสือทิ้งหรือฉีกตอนนั้นก็มี (บาลีเรียกรสนี้ว่า โกธะ)
                ตัวอย่างจาก สุภาษิตสอนหญิง
“ ข้างพ่อแม่ก็จะโกรธพิโรธร่ำ         จะจองจำตีโบยออกโหยหน
ด้วยท่านอายขายหน้าประชาชน      ไม่รักตนเราจึงต้องมาหมองมัว
ถ้าปะว่าแม่พ่อคอใจร้าย                     กลับซื้อขายคิดเอากับเจ้าผัว
 แม้นชายจนคนขัดพลัดเข้าตัว           เราทำชั่วก็ต้องขายกายเราเอง ”
                4) ภยานกรส (รสแห่งความกลัว ตื่นเต้นตกใจ) บทบรรยายหรือพรรณาที่ทำให้ผู้อ่านผู้ฟัง ผู้ดู มองเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัยในบาปกรรมทุจริต
ตัวอย่างจาก สุภาษิตสอนหญิง
“ คนผู้นั้นครั้นตายวายชีวาตม์             คงไม่คลาดแคล้วนรกตกถลา
ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันพระจันทรา    ทรมาหมกไหม้ในไฟฟอน ”
                5) พีภัตสรส (รสแห่งความชัง ความรังเกียจ) บทบรรยายหรือพรรณนาที่ทำให้ผู้อ่านผู้ดู ผู้ฟังชังน้ำหน้าตัวละครบ้างตัว เพราะจิต(ของตัวละคร)บ้าง เพราะความโหดร้ายของตัวละครบ้าง (บาลีเรียกรสนี้ว่า ชิคุจฉะรส)
       ตัวอย่างจาก สุภาษิตสอนหญิง
“ พูดก็มากปากก็บอนแสนงอนนัก      เห็นเขารักกันไม่ได้ใจอิจฉา
   เที่ยวรอนรานจนเพื่อนบ้านเขาระอา  นั่งที่ไหนให้นินทาเขาเป็นแดน
ที่ส่วนตัวถึงจะชั่วออกล้นพ้น               สู้ปิดปกยกตนนี่สุดแสน
ไม่ทำมาหากินจนสิ้นแกน     ก็เลยแล่นเข้าบ่อนนอนสบาย ”
“ ที่บางนางนั้นก็ทำทุจริต                  มิได้คิดคุณท่าเท่าเกศี
เห็นพ่อแม่ยากไร้ไม่ไยดี                    ดูเป็นที่อายเพื่อนเบือนอารมณ์
เขาถามไถ่ว่ามิใช่เป็นพ่อแม่              ทำพูดแก้เกลื่อนกลับจะทับถม
ให้ตามหลังบังคับด้วยคำคม              ไม่ชื่นชมยกชูขึ้นบูชา ”
              6) ศานติรส(รสแห่งความสงบ) อันเป็นอุดมคติของเรื่อง เช่น ความสงบสุขในแดนสุขาวดี อันเป็นผลมุ่งหมายทางโลกและทางธรรม เป็นผลให้ผู้อ่าน เกิดความสุขสงบ ในขณะนั้นด้วย (บาลีเรียกรสนี้ว่า สมะรส)

“ เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล               จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดระทนใจ
  ด้วยชนกชนนีนั้นมีคุณ                      ได้การุญเลี้ยงรักษามาจนใหญ่
 อุ้มอุทรป้อนข้าวเป็นเท่าไร                หมายจะได้พึ่งพาธิดาดวง
ถ้าเราดีมีจิตคิดอุปถัมภ์                       กุศลล้ำเลิศเท่าภูเขาหลวง
จะปรากฏยศยิ่งสิ่งทั้งปวง                  กว่าจะล่วงลุถึงซึ่งพิมาน
เทพไทในห้องสิบหกชั้น                   จะชวนกันสรรเสริญเจริญสาร
ว่าสตรีนี้เป็นยอดยุพาพาล                 ได้เลี้ยงท่าชนกชนนี ”

  
ด้านสังคมและวัฒนธรรม
               1.ขนบธรรมเนียม การแต่งวรรณคดีร้อยกรองสมัยโบราณ ต้องมีบทไหว้ครู (ประณามพจน์) เช่น
“ ประนมหัตถ์นมัสการขึ้นเหนือเศียร
ต่างประทีปโกสุมปทุมเทียน             จำนงเนียรนบบาทพระศาสดา
อันเป็นมิ่งโมลีสี่ทวีป                          ดังประทีปส่องทั่วทุกทิศา
ก็ล่วงลับดับไกลนัยนา                        สู่มหาห้องนิพพานสำราญรมณ์”   
               2.ค่านิยมเรื่องความสำคัญของการพูด เช่น
“ เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก    จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา                    จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ ”
               3.ค่านิยมเรื่องความมัธยัสถ์และความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา เช่น
“ มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท          อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์
จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง           อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน
ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน
เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล                  จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดระทดใจ
ด้วยชนกชนนีนั้นมีคุณ                      ได้การุณเลี้ยงรักษามาจนใหญ่
อุ้มอุทรป้อนข้าวเป็นเท่าไร                หมายจะได้พึ่งพาธิดาดวง ”
               4.ค่านิยมเรื่องการรักนวลสงวนตัวของสตรี เช่น
“ จงรักนวลสงวนงามห้ามใจไว้       อย่าหลงใหลจำคำที่พร่ำสอน
คิดถึงหน้าบิดาและมารดร                อย่ารีบร้อนเร็วนักมักไม่ดี
เมื่อสุกงอมหอมหวนจึงควรหล่น    อยู่กับต้นอย่าให้พรากไปจากที่
อย่าชิงสุกก่อนห่ามไม่งามดี              เมื่อบุญมีคงจะมาอย่าปรารมภ์ ”
          5. ค่านิยมเรื่องการแต่งกายของสตรี เช่น
“ จะนุ่งห่มดูพอสมศักดิ์สงวน          ให้สมควรรับพักตร์ตามศักดิ์ศรี
จะผัดหน้าทาแป้งแต่งอินทรีย์           ดูฉวีผิวเนื้ออย่าเหลือเกิน ”
         6.ค่านิยมเรื่องการปฏิบัติตัวต่อสามี เช่น
“ ถ้าแม้นว่าภัสดาเข้าไสยาสน์                          จงกราบบาททุกครั้งอย่าพลั้งหลง
    เขาเมื่อยเหนื่อยเจ็บปวดในทรวดทรง              ช่วยบรรจงนวดฟั้นให้บรรเทา ”                                  
         7.ค่านิยมเรื่องกิริยามารยาทของสตรี เช่น
“ ประการหนึ่งซึ่งจะเดินดำเนินนาด              ค่อยเยื้องยาตรยกย่างไปกลางสนาม
  อย่าไกวแขนสุดแขนเขาห้ามปราม                  เสงี่ยมงามสงวนไว้แต่ในที
   อย่าเหินกรายย้ายอกยกผ้าห่ม                            อย่าเสยผมกลางทางหว่างวิถี
    อย่าพูดเพ้อเจ้อไปไม่สู้ดี                                     เหย้าเรือนมีกลับมาจึงหารือ ”
         8.ค่านิยมเรื่องการเลือกคู่ครอง เช่น
“ จะหาคู่สู่สมนิยมหวัง      จงระวังชั่วช้าอัชฌาสัย
ที่ชายดีนั้นก็มีอยู่ถมไป       ใช่วิสัยเขาจะชั่วไปทั่วเมือง ”
“ แม้นชายใดใจประสงค์มาหลงรัก                ให้รู้จักเชิงชายที่หมายมั่น
 อันความรักของชายนี้หลายชั้น                        เขาว่ารักรักนั้นประการใด
  จงพินิจพิศดูให้รู้แน่                          อย่ามัวแต่ใจเร็วจะเหลวไหล
เปรียบเหมือนคิดปริศนาอย่าไว้ใจ                  มันมักไพล่แพลงขุมเป็นหลุมพราง ”
         9. ลักษณะของสตรีชาววัง เช่น
“ เมื่อไปเป็นชาววังจึงนั่งแต่ง           แต่พอแจ้งเข้าก็จับกระจกหวี
ด้วยสำราญการอะไรนั้นไม่มี            จะหาคู่ดูแต่ที่เจ้าพระยา ”
         10. ค่านิยมการเป็นแม่ศรีเรือน เช่น
“ ระวังดูเรือนเหย้าแลเข้าของ           จะบกพร่องอะไรที่ไหนนั่น
เห็นไม่มีแล้วอย่าอ้างว่าช่างมัน        จงผ่อนผันเก็บเล็มให้เต็มลง ”

ด้านคุณธรรม จริยธรรม
            1. ความกตัญญู
“ เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล               จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดระทดใจ
  ด้วยชนกชนนีนั้นมีคุณ                      ได้การุญเลี้ยงรักษามาจนใหญ่ ”
            2. การไม่ประพฤติผิดในกาม
เป็นขนิษฐ์ชอบแต่คิดให้เป็นหนึ่ง   ไม่ควรถึงอย่าให้ถึงกับปากเสียง
เอ่ยว่ารักแล้วให้ได้ร่วมเรียง                 เป็นคู่เคียงของตัวว่าผัวเมีย
            
           

อ้างอิง
https://sites.google.com/site/thanchanokprisri/bth-thi2-wrrnkhdi-kha-sxn/suphasit-sxn-hying

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สุภาษิตสอนหญิง

สุภาษิตสอนหญิง เรื่องย่อ         สุภาษิตสอนหญิงเป็นการแต่งไปเรื่อยและเท่าที่ใจกวีอยากจะแต่ง ไม่ได้วางโครงเรื่องไว้ก่อนแต่ง แต่ก็คง...